เพราะเรื่องของค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องสำคัญต่อการตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ“ทุนการศึกษา”เป็นอีกหนทางหนึ่งของนักเรียนต่างชาติ วันนี้จะมาเล่าเรื่องทุนเรียนต่อต่างประเทศให้ฟัง ว่ามีกี่ประเภท น้องๆที่อยากขอทุนแต่ไม่เคยขอมาก่อน หรือ ไม่แน่ใจว่า อย่างฉันนี่จะสมัครทุนกับเขาได้ไหม วันนี้จะมาแจงให้ฟังรวมถึงแนะนำ เคล็ดลับค้นหาทุน ข้อควรรู้ เมื่อรู้แล้วจะได้ดูทุนเป็นและเพิ่มโอกาสในการไปเรียนต่ออย่างสบายกระเป๋าป๊าม๊าด้วยจ้ามาเริ่มกันที่ประเภทของทุนการศึกษา
ไม่ใช่ว่าทุนการศึกษาที่แต่ละประเทศมอบให้นั้น จะเหมือนกันเสมอไปนะคะ ทุนแต่ละอันมีกฎเกณฑ์มากมาย อาจมีความแตกต่างในเรื่องของรายละเอียด สัญญาผูกมัด รวมถึงเงินสนับสนุน ไปดูกันเลย
1. ทุนแบบเต็มจำนวน
ทุนประเภทนี้ เป็นทุนการศึกษาที่เราชอบมากที่สุด เหตุผลนั้นแสนหวาน เพราะทุนครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่าย ค่าเล่าเรียน ค่ากินอยู่ ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่างๆ เรียกว่าออกให้หมด ภายในงบประมาณที่ทางเจ้าของทุนกำหนด ทุนในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นอันนี้
ตัวอย่างทุน
Australian Development Scholarships (ADS) ที่มอบทุนการศึกษาจำนวนหลายทุนให้แก่นักศึกษาต่างชาติ ทั้งระดับปริญญาตรี โท เอก โดยทุนนั้นครอบคลุมทั้งค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ รวมค่าที่พัก ค่าครองชีพ และค่าประกันสุขภาพ เป็นต้น
2. ทุนแบบให้บางส่วน
เรียกอีกอย่างว่าทุนแบบไม่เต็มจำนวนนั่นเอง เป็นทุนที่เราจะต้องออกเงินในบางส่วนเองด้วย เช่น เจ้าของทุนจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้เพียงแค่บางส่วน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆเราต้องออกเอง เช่น ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นต้น เปรียบเหมือนไปเดทแล้ว ช่วยออกแต่ไม่ทั้งหมด (ก็ยังดีกว่าไม่ได้ช่วยออกเลย)ซึ่งทุนของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศต่างๆ มักจะเป็นทุนในลักษณะเช่นนี้
ตัวอย่างทุน
Business School MBA Scholarship (ของ Essex Business School) ประเทศอังกฤษ ที่จะให้เงินทุนจำนวน 1,000 ปอนด์ แก่นักต่างชาติที่ต้องการจะมาศึกษา MBA ในสถาบัน โดยจำนวนเงินนี้ผู้ได้ทุนจะนำไปหักออกจากค่าเล่าเรียนทั้งหมด หรืออีกความหมายคือ ได้ส่วนลด 1,000 ปอนด์นั่นเอง
3. ทุนแบบที่มีภาระผูกพัน
โดยทุนแบบที่มีภาระผูกพันนั้น ก็คือ ทุนที่มีการกำหนดเงื่อนไขบางประการเอาไว้ เช่น จะต้องกลับมาทำงานในองค์กรของผู้ที่ให้เงินทุน หรือ ในระหว่างการศึกษานั้นจะต้องเรียนให้ได้ผลเรียนตามที่เจ้าของทุนกำหนดไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับทุนต่อ พูดง่ายๆ “เธอสัญญาแล้วนะว่าจะกลับมา”“สัญญานะว่าจะเป็นเด็กดี”
ทุนลักษณะนี้มักเป็นทุนการศึกษาแบบที่เด็กไทยอย่างเรารู้จักกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ทุน KING หรือทุนเล่าเรียนหลวง ที่มอบให้กับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อไปศึกษาต่อในต่างประเทศโดยไม่จำกัดสาขาวิชาเรียน และประเทศที่ไปเรียน แต่มีภาระผูกพัน คือ จะต้องกลับมาทำงานในประเทศไทยเป็นระยะเวลาเท่ากับจำนวนปีที่ใช้ในการศึกษา ไม่จำเป็นต้องเข้าทำงานในหน่วยงานทางราชการ) เป็นต้น
4. ทุนแบบไม่มีภาระผูกพัน
เป็นทุนการศึกษาแบบทุนให้เปล่า หมายถึง มอบทุนให้ฟรีๆโดยที่ผู้สมัครไม่มีภาระทำอะไรคืนให้องค์กรเจ้าของเงินทุน หรือไม่มีเงื่อนไขใดๆให้ต้องปฏิบัติตาม
5. ทุนประเภทอื่นๆ
มีทุนการศึกษาบางประเภทที่มีลักษณะนอกเหนือไปจากทุนแบบอื่น ซึ่งที่พบได้บ่อยๆคือ ทุนแบบที่นักเรียนจะขอได้ ก็ต่อเมื่อสามารถสมัครและเข้าไปเรียนหรือเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย หรือ ภาควิชานั้นๆ แล้ว ซึ่งหมายความว่า ถ้าหลังจากที่เรายื่นขอทุนไปแล้ว แล้วเราไม่ได้ สิ่งที่เราต้องทำ คือ จ่ายค่าเล่าเรียนเองทั้งหมด หรือไม่ก็ต้องกลับบ้าน
คำศัพท์เกี่ยวกับทุนการศึกษา
ในระหว่างที่น้องๆหาทุนการศึกษาในอินเตอร์เนตหรือหาอ่านจากประกาศต่างๆที่มีติดไว้ตามโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนั้น น้องๆอาจจะเกิดอาการไม่เข้าใจหรืออาจจะพบกับคำศัพท์บางอย่างที่เกี่ยวกับทุนการศึกษาที่มีความคล้ายคลึงกัน และบางครั้งศัพท์เหล่านี้ก็เป็นตัวกำหนดลักษณะและประเภทของทุนด้วย
มาดูกันว่าศัพท์ที่น้องๆควรจะทราบไว้เกี่ยวกับทุนการศึกษามีอะไรบ้าง
คำศัพท์
|
ความหมาย
|
| Scholarship | ทุนการศึกษา, ทุนเล่าเรียน |
| Fellowship | เงินที่มอบให้โดยมหาวิทยาลัยหรือองค์กรต่างๆ เพื่อเป็นทุนในการเรียนต่อหรือทำการวิจัย |
| Grant | เงินช่วยเหลือ/ เงินสนับสนุน |
| Loan | เงินกู้ยืม (ต้องมีการใช้เงินคืนในภายหลัง) |
| Scholarship value | มูลค่าทุน |
| Scholarship covers/ Scholarship inclusions | ทุนส่วนนั้นครอบคลุมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง |
| Full scholarship | ทุนค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน |
| Partial scholarship | ทุนค่าเล่าเรียนบางส่วน |
| Tuition fees | ค่าเล่าเรียน |
| Waiver | การงดหรือละเว้น |
| Host Institution(s) | สถาบันหรือมหาวิทยาลัยที่เปิดรับสมัคร |
| Academic Year | ปีการศึกษา |
| Fields of study | สาขาวิชา หรือคณะต่างๆ (ที่ทุนนั้นๆจะครอบคลุม) |
| Full-time Programme | หลักสูตรการศึกษาแบบเต็มเวลา |
| Graduate / Postgraduate degree | การศึกษาระดับปริญญามหาบัณฑิต (ปริญญาโท-เอก) |
| Undergraduate degree | การศึกษาระดับปริญญาตรี ในสหราชอาณาจักร มีระยะเวลา 3 ปีสำหรับสาขาส่วนใหญ่ ยกเว้น วิศวกรรมศาสตร์ กับสถาปนิกใช้เวลาเรียน 4 ปี Sandwich courses เป็นหลักสูตรระยะเวลา 4 ปี โดยนักศึกษาต้องออกไปทำงานจริงประมาณ 1 ปี ในปีที่ 3 แล้วกลับมาศึกษาต่อในปีที่ 4 สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ต้องการเรียนหลักสูตรนี้ควรปรึกษากับสถาบันที่ต้องการศึกษา เกี่ยวกับกฎหมายการทำงานสำหรับนักศึกษาต่างชาติ หลักสูตรปริญญาตรีมีหลายประเภท ได้แก่ · หลักสูตรปริญญาตรีทั่วไป (4 ปี ) · Foundation Degree หลักสูตรเรียนเพื่อปูพื้นฐานก่อนเรียน หลักสูตรปริญญาตรีทั่วไป · Higher National Certificate (HNC) หรือ Diploma (HND) |
| Higher National Certificate (HNC)/Higher National Diploma (HND) | Higher National Certificates หลักสูตร 1 ปี และ Higher National Diploma หลักสูตร 2 ปี เป็นการเรียนที่เกี่ยวข้องระหว่างอาชีพกับการศึกษาระดับสูง เป็นหลักสูตรเทียบเท่าปี 1 ของปริญญาตรี โดยมีสาขาต่าง ๆ ดังนี้คือ Engineering, Sports Studies,Art and Design, Media and Communications และ Music Technology เมื่อสำเร็จ การศึกษานักศึกษาสามารถทำงานในระดับ Junior Management หรือสามารถโอนไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี |
| Degree certificate | ใบรับรองการศึกษาระดับปริญญา |
| Letters of recommendation | จดหมายรับรองหรือแนะนำตัว (อาจจะเป็นจดหมายแนะนำตัวจากมหาวิทยาลัย หรือรับรองจากหน่วยงานที่เคยทำงาน เป็นต้น) |
| Transcript | ใบแสดงผลการศึกษา |
| Resume | ประวัติของผู้สมัคร |
| Personal Statement/ Statement of Motivation/ Letter of Motivation | เรียงความหรือบทความที่ทำให้มหาวิทยาลัยหรือคณะกรรมการได้รู้จักเรามากขึ้น |
| Language assessment/ Language Certificates | ผลการทดสอบความสามารถทางภาษา หรือใบรับรองทางภาษา (เช่น ผลสอบ TOEFL, IELTS เป็นต้น) |
| UCAS | Universities and Colleges Admissions Service (UCAS) ระบบการสมัครเรียนต่อระดับปริญญา (ตรี โท เอก รวมถึง ประกาศนียบัตรและอนุปริญญา )ในอังกฤษโดยผ่านระบบจากส่วนกลางสถาบันการศึกษา และหลักสูตรทั้งหมดที่อยู่ในระบบของ UCAS เป็นที่ยอมรับของรัฐบาลอังกฤษ http://www.ucas.com/students/apply/ |
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ น้องๆอาจจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายดายมากขึ้นและหลากหลายขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านั้นก็ควรจะเชื่อถือได้และมีความถูกต้อง ที่ๆสามารถเข้าไปอ่านและสอบถามข้อมูลทุนการศึกษาได้ โดยแหล่งข้อมูลที่ว่า มีดังนี้ค่ะ
ประกาศของมหาวิทยาลัยหรือของโรงเรียน
โดยเฉพาะน้องๆที่กำลังเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่“ห้องแนะแนว” หรือน้องที่เรียนมหาวิทยาลัย ลองเช็คเวบไซท์ หรือ เวบบอร์ดของคณะดู เพราะว่าเจ้าของทุนต่างๆก็จะส่งข่าวมายังที่นี่ก่อนเป็นที่แรก อีกทั้งบางทียังเป็นทุนที่เจาะจงเฉพาะสาขา ทั้งยังรับประกันได้ด้วยว่าข้อมูลไม่มีหลอกลวงแน่นอน
งานเทศกาลศึกษาต่อต่างประเทศ
มีเทศกาลเช่นนี้จัดขึ้นหลายครั้งต่อปีโดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์ ไปจนถึงเกือบๆ สิงหาคม ให้ลองติดตามให้ดี งานแบบนี้จะรวมหลายสถาบันการศึกษา คือ เค้ามาหานักเรียนและโปรโมทสถาบัน โดยมากทุกมหาวิทยาลัยจะมีทุนการศึกษาในแต่ละภาควิชาอยู่แล้ว น้องๆสามารถขอใบสมัคร ซักถามข้อสงสัยต่างๆได้ทุกเรื่องเพราะเจ้าของทุนมาเอง หรือทิ้งอีเมลไว้กับสถาบันเหล่านั้นได้เลยในวันนั้นก็ได้ ก็จะไดรับการติดต่อโดยตรงจากทางมหาวิทยาลัย
อินเตอร์เนต
มีเวบไซท์จำนวนมากที่ให้ข้อมูลเรื่องทุน แต่ทางที่ดีความหาข้อมูลให้รอบด้านด้วย เพราะว่าอาจจะมีมิจฉาชีพแฝงมาด้วยก็เป็นได้ ลองพูดคุยกับคนที่เคยขอทุนมาก่อนก็จะเป็นการดีค่ะ หรือ อ่านบทความกระทู้จากพันทิปห้องไกลบ้าน ที่มีกูรูใจดีเข้ามาเขียนไว้ก็ช่วยได้มาก ส่วน Hotcourses.in.thของเราก็มีข้อมูลทุนด้วยเช่นกัน จาก 9 ประเทศ ทีต่างจากเวบอื่นก็คือ สามารถเลือกประเทศและ สาขาวิชาที่สนใจได้เลย ระบบจะทำการค้นออกมา พร้อมบอกวันหมดอายุของทุน รวมทั้งยังสามารถดาวน์โหลดระเบียบการเพื่อดูรายวิชาของมหาวิทยาลัยต่างๆได้อีกด้วย
เคล็ดลับการหาทุน
ด้วยความที่ทุนการศึกษามันมีมากมายซะเหลือเกิน จะทำยังไงถึงจะได้ทุนกับเค้าบ้าง วันนี้ Hotcourses มาแชร์เคล็ดลับดีๆสำหรับใช้ในการวางแผนการหาทุนกันค่ะ
1.สังเกตประเภทของทุน
น้องๆต้องดูก่อนเลยว่าทุนนั้นๆเป็นทุนที่แจกเฉพาะนักเรียนต่างชาติ (International students) หรือ แจกรวมๆ เพื่อน้องๆจะได้รู้ว่าจะต้องไปแข่งขันกับใคร รวมถึงโอกาสในการได้มากน้อยแค่ไหน
2.อ่านขั้นตอนการสมัครให้เข้าใจ
ควรอ่านขั้นตอนวิธีการในการสมัครให้เข้าใจจริงๆ และถ้าไม่เข้าใจ ให้ส่งอีเมล์ไปยังสถาบันการศึกษานั้นๆเพื่อถามโดยตรง เพราะบางครั้ง ถ้าถามจากเพื่อน หรือ คนที่เคยขอทุนอาจได้ข้อมูลที่ผิดหรือไม่ทันสมัยพอค่ะ ต้องเช็คเพื่อนความชัวร์
3.ทำ Leadtime
คือการ ทำ plan คร่าวๆ ว่าเราจะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างสำหรับการยื่นทุนนั้นๆ และเอกสารเหล่านั้นจะได้ครบเมื่อไหร่ รวมถึงต้องสมัครภายในวันไหน โดยควรจะต้องยื่นก่อน deadline ประมาณ 1 เดือน หรือถ้าเร็วกว่านั้นได้ก็ยิ่งดี เพราะเผื่อมีอะไรผิดพลาด จะได้สามารถส่งเอกสารไปใหม่ได้
วิธีการนี้จะเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับทุนการศึกษาที่มีข้อกำหนดให้มีการสมัครด้วยการ “ส่งไปรษณีย์” อย่างเดียวเท่านั้น เพราะมันจะทำให้น้องๆวางแผนได้ถูกและเผื่อเวลาในการจัดส่งเอกสารด้วย
โดยช่วงเวลาของทุนนั้น ส่วนใหญ่จะปล่อยออกมาช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน และมักจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ส่วนเดือนสิงหาคมถึงกันยายน มักจะเป็นช่วง deadline ของทุน เพราะมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดเทอม
แต่ทั้งนี้ เรื่องของวันเวลาในการรับสมัครของแต่ละทุนนั้น อาจะไม่เป็นไปตามนี้เสมอไป เพราะทุนบางของบางองค์กรหรือบางสถาบันมีการบริหารจัดการเป็นของตัวเอง ก็จะทำให้ช่วงเวลาในการรับสมัครแตกต่างไปจากนี้ค่ะ
4.ทำ check list เพื่อตรวจสอบเอกสารให้พร้อม
เอกสารที่ต้องเตรียมในการขอทุน ซึ่งโดยมากต้องใช้แน่ๆ คือ
· ใบรับรองผลการศึกษา
· ผลการวัดระดับความสามารถทางภาษา TOEFL , IELTS,TOEIC, GRE หรือ ความสามารถเฉพาะทางต่างๆ แล้วแต่ทุนกำหนด
· Letter of recommendation
คือ จดหมายรับรองหรือแนะนำตัว อาจจะเป็นจดหมายแนะนำตัวจากมหาวิทยาลัย หรือรับรองจากหน่วยงานที่เคยทำงาน เป็นต้นแนะนำว่าควรมี
1) จดหมายเพื่อความน่าเชื่อถือ เช่น คณบดีของสาขาที่เราจบมา เนื่องจากเราใช้เอกสารในการพูดแทนตัวเรา นอกจากผลการเรียนแล้ว จดหมายจากบุคคลที่มีตำแหน่งสูงจะเป็นสิ่งที่รับรองว่าเราเป็นใครมาจากไหน
2) จดหมายเพื่อพูดถึงเราในแง่ความสามารถและความดีของเรา โดยคนที่เขียนควรมีความใกล้ชิดกับเราพอสมควร เพื่อให้เราสามารถพูดถึงข้อดี ประสบการณ์ หรือผลงานของเราออกมาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถพูดถึงคุณลักษณะนิสัยส่วนตัวของเราได้อีกด้วย โดยมากมักจะให้อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้เขียนให้
· Statement of Purpose
คือ เรียงความหรือบทความที่บอกให้มหาวิทยาลัยหรือเจ้าของทุนเข้าใจว่าทำไมเราจึงสมควรได้ทุนนี้ ทำให้มหาวิทยาลัยหรือคณะกรรมการได้รู้จักเรามากขึ้น เอกสารนี้จึงถือว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก
เอกสารที่เราใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผลงานในอดีตที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ประวัติการศึกษา หรือ จดหมายรับรองซึ่งเราก็ไม่สามารถควบคุมเนื้อหาได้ ดังนั้น Statement of Purpose จึงเป็นเพียงเอกสารเดียวที่เปิดโอกาสให้เราได้พูดกับคณะกรรมการ
ความมุ่งมั่นหรือความตั้งใจของเราจะเป็นสิ่งที่ทำให้ใบสมัครของเราโดดเด่นออกมา เช่น เรามีฝันที่ยิ่งใหญ่ในสาขาหรือในสายอาชีพนั้นๆ หรือ เรามีแนวคิดในการพัฒนางานในสาขานั้นๆ ตัวอย่างที่น่าสนใจในอดีตที่เคยมีมาก็คือ มีนักศึกษาจากประเทศตะวันออกกลางคนหนึ่งที่ผลการเรียนไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่เธอกลับได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เนื่องจากเธอเขียนเรียงความว่า “เธอฝันที่จะเป็นนักการเมืองและต้องการใช้ความรู้ด้านกฎหมายและการปกครอง ไปเปลี่ยนความไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงในสังคมตะวันออกกลาง” เป็นต้น
5.อย่าสมัครแค่ทุนเดียว เช่นเดียวกับการสมัครเรียนมหาวิทยาลัย ที่เราควรจะสมัครขอไว้เผื่อประมาณ2-3 ทุน ในสาขาที่ใกล้เคียงกัน เพราะเนื่องจาก การเตรียมเอกสารจะได้ทำเพียงแค่รอบเดียว แต่ยื่นได้หลายแห่ง
6.จงมุ่งมั่น
สุดท้ายคือ น้องๆต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่น และต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง การไม่ได้ทุนในการขอครั้งแรกไมได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เหมือนที่ Steve Job เคยกล่าวในสุนทรพจน์ที่มหาวิทยลัยฮาร์วาร์ดว่า “Don’t Settle, Keep Looking” อย่าเพิ่งท้อ และพยายามต่อไปค่ะ
เขียนโดย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น